เมนู

พระอุทายีเถระผู้บรรลุปฏิสัมภิทา จบเทศนาโดยกล่าวสรรเสริญคุณ
พระทศพลด้วยคาถา 16 คาถา ด้วยบท 64 บท ด้วยประการดังพรรณนามา
ฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนา. เวลาจบเทศนา สัตว์ 84,000
ได้ดื่มน้ำอมฤต (บรรลุธรรม) แล.
จบอรรถกถานาคสูตรที่ 1

2. มิคสาลาสูตร


ว่าด้วยบุคคล 6 จำพวก


[315] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้วถือบาตรจีวร
เข้าไปยังนิเวศน์ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ ครั้งนั้น
อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ กราบไหว้แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนี้ ที่เป็นเหตุให้คน 2 คน คือคนหนึ่ง
ประพฤติพรหมจรรย์ และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติ
เสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร คือ บิดาของดิฉัน
ชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอัน
เป็นธรรมชองชาวบ้าน ท่านทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต บุรุษชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของ
บิดาของดิฉัน เป็นผู้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (แต่) ยินดีด้วยภรรยาของตน
แม้เขากระทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามี-

บุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนี้ ที่เป็นเหตุให้คน 2 คน คือ คนหนึ่งประพฤติ
พรหมจรรย์ และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันใน
สัมปรายภพ อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร.
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพยากรณ์ไว้อย่างนั้นแล.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์รับบิณฑบาตที่นิเวศน์ของอุบาสิกา ชื่อ
มิคสาสาแล้ว ลุกจากอาสนะกลับไป ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กลับจากบิณฑบาต
ภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาเช้า
ข้าพระองค์นุ่งแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้ว
นั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ ลำดับนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเข้าไปหาข้าพระองค์ถึง
ที่อยู่ กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนี้ ที่เป็นเหตุ
ให้คน 2 คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และคนหนึ่งไม่ประพฤติ
พรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้
อย่างไร คือ บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ
ห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ท่านกระทำกาละแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต
บุรุษชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน เป็นผู้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
(แต่) ยินดีด้วยภรรยาของตน แม้เขากระทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต ข้าแต่ท่าน
พระอานนท์ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วนี้ ที่เป็นเหตุให้คน

2 คน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์
จักเป็นผู้มีคติเสมอกัน อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร เมื่ออุบาสิกาชื่อ
มิคสาลากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะอุบาสิกาชื่อมิคสาลาดังนี้ว่า
ดูก่อนน้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ไว้อย่างนั้นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็อุบาสิกาชื่อมิคสาลา
เป็นพาล ไม่ฉลาด เป็นสตรี รู้ตัวว่าเป็นสตรี เป็นอะไร และพระสัมมา-
สัมพุทธะเป็นอะไร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของ
บุคคล ดูก่อนอานนท์ บุคคล 6 จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก 6 จำพวก
เป็นไฉน ? ดูก่อนอานนท์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากบาป
มีการอยู่ร่วมเป็นสุข พวกชนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน ย่อมยินดียิ่ง
ด้วยการอยู่ร่วมกัน เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วย
ความเป็นพหูสูต ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ ไม่ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย
เขาตายไปแล้วย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ไม่เป็น
ผู้ถึงทางเจริญ.
ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากบาป
มีการอยู่ร่วมเป็นสุข พวกคนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน ย่อมยินดียิ่ง
ด้วยการอยู่ร่วมกัน เขาได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็น
พหูสูต ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย เขาตายไปแล้ว
ย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม
ดูก่อนอานนท์ พวกชนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมของชน
แม้นี้ก็เหล่านั้นแหละ. ธรรมของชนแม้อื่นก็เหล่านั้นแหละ เหตุไฉน บรรดา
คน 2 คนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณ
เหล่านั้น เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน ดูก่อน

อานนท์ ใน 2 คนนั้น บุคคลใดเป็นผู้งดเว้นจากบาป มีการอยู่ร่วมเป็นสุข
พวกคนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน ย่อมยินดีด้วยการอยู่ร่วมกัน เขาได้
กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ได้แทงตลอด
แม้ด้วยทิฏฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย ดูก่อนอานนท์ บุคคลนี้ดีกว่า
และประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแส
แห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่านอกจากตถาคตจะพึงรู้เหตุนั้น เพราะ
เหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือ
ประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน
เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้.
ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความโกรธและความ
ถือตัวบางครั้งบางคราว โลภธรรมย่อมเกิดแก่เขา เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วย
การฟัง ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ
ย่อมไม่ได้วิมุตติ แม้ที่เกิดในสมัย เมื่อตายไปแล้ว เขาย่อมไปทางเสื่อม
ไม่ไปทางเจริญ เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ.
ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความโกรธและความ
ถือตัว บางครั้งบางคราว โลภธรรมย่อมเกิดแก่เขา เขาได้กระทำกิจแม้ด้วย
การฟัง ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ ย่อมได้
วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย เมื่อตายไปแล้ว เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ฯลฯ
ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความโกรธและความ
ถือตัว บางครั้งบางคราว วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วย
การฟัง ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ
ย่อมไม่ได้วิมุตติ แม้ที่เกิดในสมัย เมื่อตายไปแล้ว เขาย่อมไปทางเสื่อม
ไม่ไปทางเจริญ เป็นผู้ถึงทรงเสื่อม ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ.

ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความโกรธและความ
ถือตัว บางครั้งบางคราว วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา เขาได้ทำกิจแม้ด้วยการฟัง
ได้ทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ ย่อมได้วิมุตติ
แม้ที่เกิดในสมัย เมื่อตายไปแล้ว เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ดูก่อนอานนท์ พวกคนที่ถือประมาณ
ย่อมประมาณเรื่องนั้นว่า ธรรมของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ เหตุไฉนบรรดาคน
2 คนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน ดูก่อนอานนท์
ใน 2 คนนั้น บุคคลใดมีความโกรธและความถือตัว และบางครั้งบางคราว
วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา เขาได้ทำกิจแม้ด้วยการฟัง ได้ทำกิจแม้ด้วยความเป็น
พหูสูต ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย บุคคลนี้เป็น
ผู้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
กระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่านอกจากตถาคตจะพึงรู้เหตุนั้น
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เธอทั้งหลายอย่าเป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลาย
คุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ดูก่อน
อานนท์ ก็อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเป็นพาล ไม่ฉลาด เป็นสตรี รู้ตัวว่าเป็นสตรี
เป็นอะไร และพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นอะไร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่ง
และหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล ดูก่อนอานนท์ บุคคล 6 จำพวกนี้แล
มีปรากฏอยู่ในโลก ดูก่อนอานนท์ บุรุษชื่อปุราณะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นใด
บุรุษชื่ออิสิทัตตะก็เป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นนั้น บุรุษชื่อปุราณะได้รู้แม้คติของ

บุรุษชื่ออิสิทัตตะก็หามิได้ อนึ่ง บุรุษชื่ออิสิทัตตะเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา
เช่นใด บุรุษชื่อปุราณะก็ได้เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นนั้น บุรุษชื่ออิสิทัตตะ
ได้รู้แม้คติของบุรุษชื่อปุราณะก็หามิได้ ดูก่อนอานนท์ คนทั้ง 2 เลวกว่ากัน
ด้วยองคคุณคนละอย่างด้วยประการฉะนี้.
จบมิคสาลาสูตรที่ 2

อรรถกถามิคสาลาสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในมิคสาลาสูตรที่ 2 ดังต่อไป่นี้ :-
บทว่า กถํ กถํ นาม ความว่า ด้วยเหตุอะไร ๆ. บทว่า
อญฺเญยฺโย แปลว่า (ธรรม) อันบุคคลพึงรู้ให้ทั่วถึง. บทว่า ยตฺร หิ นาม
คือ ในธรรมชื่อใด. บทว่า สมสมคติกา ความว่า พรหมจารีบุคคล
และอพรหมจารีบุคคล (ผู้มิใช่เป็นพรหมจารี) อันชนทั้งหลายรู้แล้วว่า จักเป็น
ผู้มีคติเสมอกันโดยภาวะที่เสมอกันนั่นเอง. บทว่า สกทาคามี สตฺโต ตุสิตํ
กายํ อุปปนฺโน
ความว่า บังเกิดเป็นสกทาคามีบุคคลในภพดุสิตนั่นเอง.
บทว่า กถํ กถํ นาม ความว่า (มิคสาลาอุบาสิกาถามว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพรหมจารีบุคคลและอพรหมจารีบุคคลไว้) ด้วยเหตุ
อะไรหนอแล คือ พระองค์ทรงรู้จักแล้วจึงแสดงไว้หรือว่าไม่ทรงรู้จัก พระเถระ
(อานนท์) ไม่ทราบเหตุจึงกล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง ก็แลข้อนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงพยากรณ์ไว้อย่างนี้.
บทว่า อมฺพกา อมฺพกสญฺญา ความว่า (มิคสาลาอุบาสิกา)
เป็นหญิง ยังประกอบด้วยความสำคัญอย่างหญิงอยู่นั่นเอง.